[CR] แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น(คันโต)คนเดียวสไตล์เพื่อนไม่คบ 10 วัน 9 คืน ด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นดิ่งเหว

สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่านี่ไม่ใช่กระทู้ไกด์ไลน์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นแน่นอน เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความมั่วซั่วและไม่มีหลักการของผม จุดประสงค์แค่อยากให้คนที่กำลังลังเลจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแต่ยังกล้าๆกลัวๆด้วยเหตุผลต่างๆนา ไปเถอะครับ ความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นติดลบอย่างผมยังเอาตัวรอดข้างๆคูๆกลับมาได้ แล้วท่านจะได้อะไรที่มันสุดๆกลับมาหลังจากทริปนี้ครับ
                     ทุกอย่างมันเริ่มแค่ว่า "เฮ้ย อยากหนีไปไกลๆที่ไม่มีใครรู้จักเราและคุยกับเราไม่รู้เรื่อง" สุดท้ายเลยหาตั๋วเครื่องบินมาได้แบบงงๆ จองที่พักไปแบบงงๆจนเกิดทริปนี้ขึ้นมานี่แหละครับ หลังจากนั่งอ่านหนังสือ หาข้อมูลนู่นนี่นั่นมาพอสังเขป ก็เลือกเมืองที่จะไปแบบตามใจฉันไปเรื่อยๆจนถึงวันเดินทางครับ
DAY 1 : 29 มีนาคม 2558

              ผมได้ตั๋วเครื่องบินสายการบิดแอร์เอเซีย เอ็กซ์ ไปกลับสนามบินดอนเมือง - นาริตะ ราคาประมาณ 14,603 บาทจองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน ออกจากดอนเมือง 10.40 น. ถึงนาริตะเกือบ หกโมงเย็น (เวลาทองถิ่น) ไปถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ซื้อตั๋วรถไฟด่วนของค่าย เคเซเข้าเมืองไปลงสถานี เคเซ อูเอโนะโลด
Capsule value Kanda Hotel

               ที่พักในคืนแรกที่ได้มาญี่ปุ่น เป็นแคปซูล รับแต่ผู้ชายครับ ผมจองผ่านอาโกด้าได้มาในราคาประมาณ 600 - 700 บาท อยู่ค่อนข้างใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน kanda มากครับ (แต่ตอนนั้นผมลงจากสถานีรถไฟ JR Tokyo เดินกันไส้แทบแตก) ในตอนนั้นมีแค่ใบจองที่พัก กับแผนที่หยาบๆโง่ๆที่ปรินท์มาจากเว็ป agoda ตั้งแต่ตอนอยู่ไทย ปรากฏว่า...................หาไม่เจอ!!!! ซิมอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้ซื้อไว้ เดินวนไปวนมาอยู่แถวนั้นอยู่นาน อากาศก็ค่อนข้างเย็น (น่าจะประมาณ สิบกว่าองศา) จนต้องเอาใบจองให้คนญี่ปุ่นแถวนั้นดูแล้วช่วยให้เค้าชี้ๆทางไปให้ ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่า แผนที่จาก agoda ยิ้มโคตรจะหยาบเลยครับ ถ้าให้แนะนำให้เอาชื่อที่พักไปหาในกูเกิ้ลแม็พ อีกทีดีกว่า

           เอาเข้าจริงๆแล้วผมนึกว่ามันจะอึดอัดแล้วก็ดูไม่เป็นส่วนตัว แต่พอลองไปนอนดูแล้ว มันให้ความรู้สึกดีมากกว่าตอนนอนแบบ Hostel อีก เป็นส่วนตัวมากกว่า และมันก็ไม่ได้เล็กอย่างที่คิดไว้เลย (ผมสูง 185 ยังสอดตัวไปนอนได้สบาย) พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเช่น ทีวี (ฟังไม่ออกซักกะคำ ==) นาฬิกาปลุก วิทยุ ที่ชาร์จแบต บลาๆ  แต่อย่างเดียวที่ผมค่อนข้างจะอะเหื้อนิดนึงก็คือห้องอาบน้ำครับ มันเป็นห้องอาบน้ำแบบรวมซึ่งยอมรับว่าไม่เคยอาบรวมจริงๆ เปิดประตูห้องอาบน้ำเข้าไปครั้งแรกยังกะงานชนช้าง!!! ต้องเดินออกมาตั้งหลัก ทำใจอยู่ซักพักก่อนจะไปร่วมกับเค้าได้ (แ่ต่วันหลังๆนี่ติดใจ ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะตลอด 5555)
              สำหรับใครที่จะลองไปนอนนะครับ  ที่นี่มียาสีฟันกับแปรงสีฟันให้นะครับ เพียงพอสำหรับการใช้ครั้งถึงสองครั้ง แล้วก็จะมีผ้าคลุมอาบน้ำที่เอาไว้เปลี่ยนตอนเดินไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำรวม ซึ่งใช้เสร็จแล้วก็จะมีตะกร้าไว้ให้ใส่ มีคอมส่วนกลางกับไวไฟให้ใช้ พนักงานสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีในระดับหนึ่ง ผมมองว่าที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากจะหาที่พักราคาประหยัด หรือลองนอนโรงแรมแคปซูลครับ
DAY 2  Utsunomiya 30 มีนาคม 2558
    

        อันดับแรกเลยคือมาที่นี่เลยครับ มารุโนอิจิ ปะตูเหนือ เพื่อมาซื้อ JR KANTO PASS (จากสถานีโตเกียวสามารถเดินทะลุมาถึงได้ครับ)   โดนไป 8300 เยน อยู่ได้ 3 วัน จากนั้นก็เดินออกมาถ่ายรูปสถานีโตเกียวซะหน่อย
  
  
        หลังจากนั้นก็นั่ง ชินคันเซ็นเลยครับ เพื่อไปเมือง Utsunomiya (ใครยังไม่คุ้นกับรถไฟในญี่ปุ่นแนะนำให้ไปจองที่นั่งในชินคันเซ็นก่อนนะครับ เพราะเค้าจะให้ใบจองที่นั่งซึ่งแสดงถึงชื่อรถไฟที่เราจะนั่งมา เราสามารถเอาใบนั้นไปถามหาช่องที่ต้องขึ้น กับเอาไปเทียบหารถไฟบนบอร์ดวิ่งข้อความได้ง่ายขึ้นเยอะครับ)
        
       มื้อแรกที่ญี่ปุ่นเลยครับ ซื้อไปกินบนชินคันเซ็น เหตุผลในการเลือกเจ้านี่ยอมรับตรงๆเลยว่าเพราะมาสค็อตที่เป็นรูปลิงจริงๆ น่ารักสวดๆ == รสชาดก็ใช้ได้เลยนะ มันโอเคมากๆสำหรับ 255 เยน เอาแรงไว้ก่อน

       มาถึงแล้ววววววว เริ่มมาถึงก็เดินหาแผนที่บริเวณประชาสัมพันธ์ก่อนเลยครับ (แนะนำให้ไปเอาแผนที่ของที่ๆเราไปเที่ยวจากสถานีรถไฟครับ ) จากสถานีรถไฟ หันหน้าออกเดินมาฝั่งตรงข้ามเดินมาเรื่อยๆก็จะเจอศาลเจ้าอยู่ทางขวามือครับ (ตามหนังสือบอกว่าจะมาขอพรเรื่องการเรียนกัน)

      เจอทางขึ้นไปนี่ถึงกับแทบดิ้น สงสารลุงเหอะ ลุงแก่แล้วววว


       หลังจากออกกำลังกายขาจนขาเขอเริ่มสั่นเล็กน้อย ก็เดินไปต่อทางทิศเหนือครับ เป้าหมายของเราต่อไปคือ สวยสวนสาธารณะ  Utsunomiya นั่งเองงงงงง จากข้อมูลเค้าบอกว่าซากุระหลายร้อยต้นจะบานพร้อมกันที่สวนแห่งนี้ ซึ่งเห็นแล้วมันช่างจำเริญใจยิ่งนัก

ยิ่งนัก!!!!! มันยังไม่บานเลยนี่หว่า !! สรุปแล้วงานนี้ฟาลว์ไปตามระเบียบ ร้องไห้
ช่างมันเรายังมีที่อื่นอยู่

หอคอยอุสสุโนะมิยะที่วันนั้นดังมีก่อสร้างอะไรซักอย่าง ถ่ายรูปมามีเครนติดมาด้วยเฉย......

เห็นสะพานที่เอาไว้ชมความงามของซากุระแล้วมันเจ็บจี๊ดจนอยากจะเผาทิ้งให้รู้แล้วรูรอด

หลังจากเดินด๊อกแด๊กๆอยู่ได้ครึ่งวันก็เตรียมตัวจะไป  nikko ต่อครับ แต่ก่อนอื่นเลยต้องหาเกี๊ยวซ่าที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้กินให้จงได้ เล่นมันร้านใกล้สถานีนี่แหละ

จิงแล้วเกี๋ยวซ่าก็เป็นของอย่างหนึ่งที่ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่นอยู่นะครับ เอาไว้ฝากท้องกันตายได้ในกรณีเงินเหลือน้อย (จานนี้ 390 เยน) แต่กว่าจะสื่อสารกับคนขายรู้เรื่องก็เอาเรื่องอยู่ (สุดท้ายใช้วิธีถ่ายรูปเมนูที่แปะอยู่หน้าร้านแล้วเอาไปจิ้มให้คนขายดู)
ชื่อสินค้า:   ญี่ปุ่น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่